วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ออกพรรษา-ตักบาตรเทโว

ออกพรรษา-ตักบาตรเทโว

ออกพรรษา-ตักบาตรเทโว : คำวัด โดยพระธรรมกิตติวงศ์


         
 "เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่างๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่นๆ จนเสียหาย

พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด ๓ เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ของทุกปี ถ้าปีใดมีเดือน ๘ สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม ๑ ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑
            เว้นแต่มีกิจธุระเจ้าเป็นซึ่งเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน ๗ คืนเรียกว่า สัตตาหะ หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด
            สำหรับคำว่า "ออกพรรษา" นั้น พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙) ราชบัณฑิต และเจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม ได้ให้ความหมายไว้ว่า การพ้นกำหนดระยะเวลาการเข้าพรรษาครบ ๓ เดือนแล้ว
            ออกพรรษา ไม่ต้องกล่าวคำอธิษฐานเหมือนเข้าพรรษา เมื่อครบกำหนด ๓ เดือน แล้วก็เป็นอันออกพรรษา
            พรรษา มีระยะกาลออก ๒ ครั้ง เหมือนเข้าพรรษา คือ ถ้าถือปุริมพรรษาวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ออกพรรษาก็เป็น วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ถ้าเจ้าปัจฉิมพรรษา ออกพรรษาก็เป็น วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒
            ในวันออกพรรษา พระธรรมวินัยกำหนดให้พระสงฆ์ผู้จำพรรษาทำปวารณาก่อนที่จะแยกย้ายกันไป วันออกพรรษา จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันปวารณา
            ส่วนคำว่า "ตักบาตรเทโว" เจ้าคุณทองดีได้ให้ความหมายไว่ว่า การทำบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก คำว่า "เทโว" ย่อมาจากคำว่า "เทโวโรหนะ" ซึ่งแปลว่า การเสด็จลงมาจากเทวโลก
            ความเดิมมีว่า พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อเทศน์โปรดพุทธมารดา ครั้นออกพรรษาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ แล้วจึงเสด็จลงมาจากเทวโลกที่เมืองสังกัสสนคร รุ่งขึ้นแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ชาวเมืองจึงพากันทำบุญตักบาตรในวันนั้น จึงได้ชื่อว่า ตักบาตรเทโวโรหนะ ต่อมาเรียกกร่อนเหลือเพียง ตักบาตรเทโว
            เพื่อระลึกถึงวันนั้นจึงนิยมตักบาตรเทโวกันจนเป็นประเพณีสืบสานมาตราบเท่าทุกวันนี้

แกนโลกสลับขั้วจุดเริ่ม'น้ำท่วมโลก'

แกนโลกสลับขั้วจุดเริ่ม'น้ำท่วมโลก'

แกนโลกสลับขั้ว...เริ่มวิกฤติ 'น้ำท่วมโลก' : โต๊ะรายงานพิเศษ รายงาน




          ช่วงนี้สมาชิกผู้เชื่อมั่นคำพยากรณ์ "วันน้ำท่วมโลก 2012" ต่างอยู่กันไม่เป็นสุข เพราะต้องช่วยกันเฝ้าจับตาดูเหตุการณ์พายุน้ำฝน น้ำป่า น้ำทะเล ไหลท่วมทะลักเข้าประเทศไทยทุกสารทิศ เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สอดคล้องกับคำวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญอย่าง นายวีระ วงศ์แสงนาค ที่ปรึกษาอธิบดีกรมชลประทานประเมินว่า น้ำท่วมไทยปี 2554 ถือว่าเลวร้ายสุด และทำลายสถิติอุทกภัยที่เคยบันทึกมาทั้งหมด !! "ปกติแล้วกรมชลประทานจะใช้ตัวเลขปริมาณน้ำเมื่อปี 2538 และปี 2549 ซึ่งเป็นปีที่น้ำท่วมมากสุดเป็นมาตรฐานวัดสถิติน้ำท่วม โดยระดับน้ำสูงสุดจากระดับน้ำทะเลปานกลางของปี 2538 บริเวณ จ.ปทุมธานี อยู่ที่ 3.17 เมตร แต่ปี 2554 สูงถึง 3.21 เมตร ส่วนระดับน้ำที่ จ.นนทบุรี ปี 2538 สูงที่ 2.33 เมตร แต่ปีนี้พุ่งสูงสุดที่ 2.56 เมตร..." นายวีระ ยกตัวอย่าง
           จนถึงวันนี้...ยังไม่มีใครวิเคราะห์ได้ว่า น้ำจะท่วมเพิ่มสูงขึ้นไปอีกเท่าไร !?!
           หลายคนไม่เชื่อว่าคำพยากรณ์น้ำท่วมโลกจะเป็นเรื่องจริง อาจจะต้องคิดใหม่ เพราะแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ยังแปลกใจเมื่อเห็นสถิติพายุมรสุมในแต่ละปีมีจำนวนมากขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บางคนเชื่อว่าเกิดจากภาวะภูมิอากาศแปรปรวน หรือ ภาวะโลกร้อน แต่หลายคนเชื่อว่ามหันตภัยน้ำท่วมปีนี้ คือ จุดเริ่มต้นของน้ำท่วมโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012 หรือ พ.ศ. 2555
           กลุ่มผู้เชื่อใน "วันน้ำท่วมโลก" อ้างอิงข้อมูลวิทยาศาสตร์ว่า 1.ธารน้ำแข็งบริเวณหมู่เกาะกรีนแลนด์ ซึ่งตั้งในมหาสมุทรอาร์กติกทางเหนือกำลังละลาย ด้วยพื้นที่กว่า 2.2 ล้าน ตร.กม. มีน้ำแข็งกว่า 19 ร้อยล้านตัน น้ำแข็งกำลังละลายเป็นน้ำวันละ 1 ล้านตัน โดยจะไหลลงมาสะสมจนทำให้เกิดน้ำท่วมหนักในปี 2012 ขณะที่คำทำนายจากกลุ่มนักวิจัยอวกาศอ้างว่า องค์การนาซา หรือองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์คำนวณได้ว่า "วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 แกนโลกจะพลิกกลับขั้ว" หมายถึง ขั้วโลกเหนือจะพลิกมาอยู่ขั้วโลกใต้ ช่วงเวลานั้นโลกจะไม่มีพลังสนามแม่เหล็กออกมาป้องกันรังสีต่างๆ ทำให้พลังความร้อนสูง หรือ "เปลวสุริยะ" (solar flare) จากดวงอาทิตย์พุ่งตรงมายังโลก ทำให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลัน เกิดหายนะน้ำท่วมทั่วโลก
           "สุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา" อดีตนักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซา ให้สัมภาษณ์ว่า น้ำท่วมไทยปีนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะมีการเตือนภัยมานานกว่า 10 ปีแล้ว เนื่องจากระหว่างที่แกนโลกเคลื่อนตัวพลิกกลับขั้วจากเหนือไปใต้นั้น ส่งผลให้พลังสนามแม่เหล็กเปลี่ยนแปลง แกนโลกเอียงจาก 23.5 องศาเป็น 24.5 องศา ภาวะแปรปรวนของจักรวาลทำให้โลกร้อนระอุอย่างรวดเร็ว น้ำแข็งจากทั่วโลกละลายเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ยังจะเกิดพายุลมมรสุมและภัยธรรมชาติด้านต่างๆ
           "เปรียบเทียบได้กับไฟฟ้าลัดวงจร ปกติไฟฟ้าจะวิ่งจากสูงลงต่ำ แต่พลิกกลับด้านเป็นวิ่งจากต่ำขึ้นสูง ภัยพิบัติธรรมชาติจะมีทั้ง ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ สังเกตไหมว่าช่วงปีที่ผ่านมา มีรายงานข่าวเรื่องดินถล่ม โคลนถล่ม ตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก จากนั้นก็เกิดคลื่นยักษ์สึนามิและน้ำท่วมในประเทศต่างๆ ต่อไปจะเกิดภัยธรรมชาติที่เกี่ยวกับลม เช่น พายุลมที่ปกติความเร็ว 40 กม.ต่อชม. จะเพิ่มเป็น 450 กม.ต่อชม. จากนั้นจะเกิดเป็นไฟป่าทั่วไป หน้าร้อนจะร้อนมากขึ้น" อ.สุมิตร กล่าววิเคราะห์
           สำหรับนักวิทยาศาสตร์ไทยกลุ่มที่ไม่ปักใจเชื่อเรื่องน้ำท่วมโลกนั้น พวกเขาวิเคราะห์ว่า น้ำท่วมประเทศไทยหนักขึ้นทุกปี เพราะแผ่นดินทรุดตัวและมีการสร้างตึกสูงหรือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ขวางทางน้ำไหล "ดร.เสรี ศุภราทิตย์" ผอ.ศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ข้อมูลว่า จากงานวิจัยเรื่อง "ผลกระทบและแนวทางการปรับตัวจากผลพวงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อกรุงเทพฯ และปริมณฑล" พบว่า ปกติพื้นที่กรุงเทพฯ รับปริมาณน้ำฝนไหลผ่านได้ไม่เกิน 2,500 ลบ.ม.ต่อวินาที แต่ปี 2554 มีน้ำไหลผ่าน 4,700 ลบ.ม.ต่อวินาที ทำให้น้ำท่วมหนัก
            สาเหตุหลักเกิดจาก 1.พื้นที่ชายฝั่งทะเลไทยหายไปปีละประมาณ 10 เมตร และพื้นดินเป็นดินอ่อนมีการทรุดตัวอยู่ตลอดเวลา อีก 40 ปีข้างหน้าจะทรุดต่ำลงไปอีกประมาณ 30 ซม.ทำให้น้ำท่วมง่าย และ 2. ผลจากภาวะโลกร้อนเมื่อน้ำฝนเพิ่มมากขึ้นการระบายน้ำจึงไม่ทัน ยิ่งไปกว่านั้นพื้นที่ตามแนวชายฝั่งมักจะมีการสร้างตึกสูงหรือสิ่งก่อสร้างขวางทางน้ำไหล ทำให้ไม่มีช่องทางระบายน้ำออก
           "องค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจสหภาพยุโรป (โออีซีดี)ใช้คอมพิวเตอร์วิเคราะห์น้ำท่วมในอนาคต มีผลยืนยันได้ว่าอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า คือ พ.ศ. 2563 จะเกิดน้ำท่วม 9 เมืองใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย หนึ่งในนั้นมีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย คือ 1.เมืองโกลกาตา 2.เมืองมุมไบ อินเดีย 3.เมืองดักกา บังกลาเทศ 4.มณฑลกวางสี จีน 5.เมืองเซี่ยงไฮ้ จีน 6.นครโฮจิมินห์ เวียดนาม 7.เมืองไฮฟอง เวียดนาม 8.เมืองย่างกุ้ง พม่า และ 9.กรุงเทพมหานคร ตอนแรกคาดกันว่าน้ำจะเริ่มท่วมประมาณปี 2560 2561 2562 แต่ไม่รู้ว่า 2554 คือจุดเริ่มต้นหรือเปล่า วิธีแก้คือต้องปล่อยให้น้ำไหลไปตามทางธรรมชาติ อย่าสร้างสิ่งกีดขวาง" ดร.เสรีกล่าวแนะนำทิ้งท้าย

“เชียง คาน” เดลินิวส์


ถ้าเปิดปูมประวัติศาสตร์จะพบว่า “เชียง คาน” ซึ่งปัจจุบันเป็นอำเภอขนาดเล็ก อยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดเลยนั้น มีอายุอานามนับ 1,154 ปี ด้วย “ขุนคาม” โอรสของ “ขุนคัว” แห่งราชอาณาจักรล้านช้าง ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 1400 โดยเริ่มแรกเชื่อว่าน่าจะตั้งอยู่ที่เมือง “ชะนะคาม” ซึ่งมีความหมายว่า ชนะสงคราม ในดินแดนล้านช้าง
   
แต่เพราะล้านช้างมีความจำเป็นต้องแยกการปกครองออกเป็นสองอาณาจักร ในปี พ.ศ.2250  คือ อาณาจักรหลวงพระบาง ที่มีเขตแดนเหนือแม่น้ำเหืองขึ้นไป กับอาณาจักรเวียงจันทน์ที่อยู่ใต้แม่น้ำเหืองลงมา ในยามนั้นเองที่หลวงพระบางได้ลงมือสร้างเมืองปากเหือง ซึ่งอยู่ตรงฝั่งขวาแม่น้ำโขงขึ้นเป็นเมืองหน้าด่าน ขณะที่เวียงจันทน์เองก็ตั้งเมืองเชียงคานเดิม ขึ้นเป็นเมืองหน้าด่าน
   
ปี พ.ศ. 2320 เป็นปีที่อาณาจักรล้านช้าง ถูกรวมเข้ากับราชอาณาจักรไทยในฐานะประเทศราช บรรดาผู้คนได้ถูกกวาดต้อนเข้าไปอยู่ยังเมืองปาก
เหืองกันมากขึ้น
   
กระทั่งสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ คิดจะกอบกู้เอกราชโดยเข้ายึดเมืองนครราชสีมา แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะถูกคุณหญิงโมนำชาวบ้านลุกขึ้นต่อต้าน ครั้งนั้นฝ่ายไทยยังได้มีการกวาดต้อนผู้คนจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง เข้าไปยังเมืองปากเหืองกันเพิ่มมากขึ้น ต่อมาก็ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระอนุพินาศ (ต้นสกุลเครือทองศรี) เป็นเจ้าเมืองคนแรก พร้อมกับพระราชทานชื่อเมืองเสียใหม่ว่า “เชียงคาน”
   
ประวัติศาสตร์ยังระบุถึงความเป็นมาเป็นไปของเมืองเชียงคานอีกว่า ในกาลต่อมาจีนฮ่อฮึกเหิมคิดยกกองทัพเข้าไปตีเมืองเวียงจันทน์ กับหลวงพระบาง โดยได้เข้าไปปล้นสะดมเมืองเชียงคานเดิม ซึ่งอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง เป็นผลให้ชาวเชียงคานเดิม ต้องอพยพผู้คนไปอาศัยอยู่ยังเมืองเชียงคานใหม่ หรือก็คือ เมืองปากเหือง
   
หลังจากนั้นไม่นานเกิดพบว่าเมืองเชียงคานใหม่ไม่มีความเหมาะสม จึงได้พากันอพยพไปอยู่ กันที่บ้านท่านาจันทร์ ซึ่งใกล้กันกับที่ตั้งของอำเภอเชียงคานปัจจุบัน พร้อมกับตั้งชื่อเสียใหม่ด้วยว่า “เมืองใหม่เชียงคาน”
   
ในคราวที่ไทยจำต้องเสียพื้นที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ให้กับจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส คนไทยที่ติดอยู่ในฝั่งดังกล่าว จำต้องหลีกลี้หนีภัยเข้ามายังเมืองใหม่เชียงคาน ซึ่งก็คืออำเภอเชียงคาน ที่คนต่างถิ่นต่างจับจ้องตาเป็นมันกันอยู่ทุกวันนี้นั่นเอง
   
ถ้าย้อนกลับไปก่อนช่วงปี พ.ศ. 2518 ก่อนที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบสังคมนิยมเต็มรูปแบบ ดินแดนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับอำเภอเชียงคาน คือ บ้านตากแดด เมืองสารคาม แขวงเวียงจันทน์ ขณะนั้นยังเป็นถิ่นที่ตั้งของโรงเลื่อยไม้แปรรูป มีพ่อค้าไม้มากหน้าหลายตา วนเวียนเข้าไปทำธุรกิจกันไม่ขาดสาย
   
ขณะที่ฝั่งเชียงคานเอง ก็ได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่าสำคัญริมฝั่งโขง ที่เหล่าเรือบรรทุกสินค้าจากเมืองเวียงจันทน์และหนองคาย จะล่องลงมาแวะพักแรมคืน ก่อนที่จะนำสินค้าทั้งหมดเดินทางต่อไปยังเมืองปากลาย แขวงไชยะบุรี ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือ ใกล้กันกับเมืองหลวงพระบาง เพื่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากัน
   
เชียงคานในยุคสมัยนั้น จึงถูกกล่าวขานกันว่า เป็นเมืองท่าที่คึกคักด้วยบรรดาพ่อค้าผ่านเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน นั่นจึงเป็นที่มาของการลงทุนสร้างโรงแรมขึ้นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงด้านเชียงคาน และเพราะการซื้อหาไม้แปรรูปได้ง่ายจากโรงเลื่อยฝั่งตรงข้ามอีกเช่นกัน บ้านเรือนที่อยู่อาศัย ตลอดจนธุรกิจโรงแรมในยุคนั้น จึงถูกออกแบบให้เป็นบ้านเรือนไม้แบบเรียบง่าย ตลอดแนวฝั่งโขงระยะทางยาวเกือบ  3 กิโลเมตร หรือเรียกขานกันว่าถนนชายโขงในปัจจุบันนี้
   
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองของฝั่งเพื่อนบ้าน ความเป็นเมืองท่าของเชียงคานได้ถูกลบเลือนไปในที่สุด ชาวท้องถิ่นเชียงคานจึงต้องหันมาใช้ชีวิตกันแบบสำรวม คือปลูกพืชสวนครัวไว้แค่พอทำกินบางรายก็หันมาค้าขายกับผลผลิตทางเกษตรเล็ก ๆ น้อย ๆ มีบางครัวเรือนลงทุนปิดประตูเรือนไม้ แบบทิ้งถิ่นชั่วคราวไปแสวงหารายได้กันในเมืองหลวง
   
นี่คือภาพของเชียงคานในอดีตที่ผ่าน ๆ มา...แต่มีอยู่ช่วงหนึ่ง หรือเมื่อประมาณปี พ.ศ.2551 เกิดมีนักท่องเที่ยวกลุ่มนิยมชมชื่นในวิถีที่เรียบง่ายของชุมชนเชียงคานเดินทางมาถึง พวกเขาหลงใหลกับการขอพักแรมคืนอยู่ในบ้านเก่า ๆ หรือ โรงแรมเรือนไม้ ที่ยังคงสภาพไม่ต่างโรงเตี๊ยมของเหล่าพ่อค้าวานิชในอดีต โดยยินดีจ่ายค่าเช่าพักคืนละ 60-100 บาท ห้องน้ำห้องท่าก็ยินดีที่จะใช้แบบรวมกันภายนอกห้องนอน
   
พวกเขาพอใจกับการได้สัมผัสวัฒนธรรมชาวท้องถิ่นที่ดูเป็นมิตร และใช้ภาษาพูดจากันด้วยถ้อยคำสำเนียงที่ฟังแล้วนุ่มนวลอ่อนหวานไม่ต่างสุ้มเสียงชาวหลวงพระบาง เมืองหลวงของอาณาจักรล้านช้าง ที่บรรพบุรุษเชียงคานเคยพัวพันถึงกันมาก่อน เสน่ห์อันน่าจับต้องยิ่งกว่านั้น ก็ตรงถิ่นนี้แม้แต่วันนี้ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นดินแดนสงบร่มเย็น ชาวประชายังคงหันหน้าเข้าหาความสุข กับการสืบสานวัฒนธรรมประเพณี
   
เห็นได้จากความขยันตื่นกันแต่เช้าตรู่ เพื่อออกไปรอ ใส่บาตรข้าวเหนียว แม้อากาศยามเช้าจะหนาวเพราะไอหมอกกับละอองน้ำค้างจะยังกรุ่นอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่รู้สึกสะท้าน วัดวาอารามที่ขนาบอยู่รอบข้างชุมชนยังดูเป็นศาสนสถานซึ่งหมายถึงถิ่นรวมตัว เพื่อทำนุบำรุงศาสนา และฟื้นฟูประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามเอาไว้ไม่ให้ตกหล่น
   
ที่น่าสนใจในสายตาของนักอนุรักษนิยมด้านศิลปะสถาปัตยกรรม เฉพาะที่วัดศรีคุณเมือง ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งใต้ของชุมชนย่านถนนชายโขงตรงนั้น นับเป็นวัดที่มีพระอุโบสถสวยสดงดงาม ละม้ายคล้ายกันกับพระอุโบสถวัดเชียงทอง แห่งเมืองหลวงพระบาง อีกทั้งสถาปัตยกรรมบ้านเรือนไม้แต่ละหลัง ก็ยังคงรักษารูปแบบเดิมเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
   
ไม่นานนับจากวันนั้น...เสียงลือเสียงเล่าอ้างที่กล่าวขานกันไป ทำให้ขบวนนักท่องเที่ยวรสนิยมดังกล่าวเริ่มต้นหักเหทิศทาง จากที่เคยเดินทางท่องเที่ยวแถบเมืองปาย ในเมืองสามหมอก และนันทบุรี ศรีนครน่าน แห่งอาณาจักรล้านนา ก็หันมาเที่ยวชมเมืองชะนะขาม ของพ่อขุนคามแทนถิ่นนั้น ๆ
   
นี่จึงเป็นที่มาของบานประตูบ้านเรือนไม้หลังเก่า ๆ แทบจะทุกหลังของเชียงคาน ได้ถูกเปิดอ้าออกรับคนต่างถิ่นที่เดินทางมาเพื่อท่องเที่ยวและสัมผัส โดยมีการบรรจุสินค้าทั้งประเภทบริการ อาทิ โรงแรม เกสต์เฮาส์ โฮมสเตย์ หรือไม่ก็เป็นร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกทั้งเก่าและใหม่ จักรยานให้เช่า รวมถึงร้านกินดื่มประเภทของว่าง ชา กาแฟ ซึ่งทั้งหมดปรากฏอยู่ภายในบ้านเรือนไม้หลังเก่า ๆ ที่ถูกอนุรักษ์ไว้
   
กับเป็นที่รับรู้กันว่าคนที่เคยทิ้งถิ่นไปทำมาหากินยังถิ่นอื่น ได้เวลาที่จะย้อนกลับมาปัดกวาดบ้านเรือนที่เปื้อนฝุ่น ให้เป็นสถานประกอบการเหมือนครัวเรือนอื่น  จนแทบจะหาห้องว่างไม่เจอ
   
และก็เพราะเป็นการตื่นตัวของคนต่างถิ่น ที่พากันเดินทางเข้าไปมากมายทั้งวันหยุดปกติ และวันหยุดยาวนาน ที่รัฐบาลประชานิยมประเคนให้ จนถนนชายโขงแน่นขนัดไปด้วยคนเดินทาง ทำให้ห้องพักที่มีอยู่จำนวน 300 ห้อง ถูกจองเต็มล่วงหน้า ส่งผลให้องค์กรส่วนท้องถิ่น คือเทศบาลตำบลเชียงคาน ต้องลุกขึ้นมาตราเทศบัญญัติ ว่าด้วยการควบคุมอาคารเรือนไม้เหล่านั้นเอาไว้ไม่ให้เสื่อมสูญ โดยการกำหนดข้อห้ามที่ว่าความสูงต้องไม่เกิน 2 ชั้น มิให้มีเพิงหรือแผงลอย ที่น่าดีใจคือ ป้องกันสถานบริการแบบสร้างความเสื่อมโทรมทุกชนิด เว้นไม่ให้มีอู่ซ่อมรถ โกดังสินค้า สถานเก็บเชื้อเพลิง ฯลฯ
   
นี่คือความรับผิดชอบของท้องถิ่นที่ดูน่าชื่นใจ และน่ายกย่องก็ตรงที่คนเชียงคานเองก็มีค่านิยมอยู่ว่าบ้านเรือนทุกหลัง แผ่นกระดานทุกแผ่น ล้วนเป็นมรดกที่บุพการีถ่ายโอนไว้ให้เป็นทรัพย์สินตกทอด ถ้าใครคิดขายเปลี่ยนมือ คน ๆ นั้น สมควรที่จะถูกประณามหยามเหยียดจากคนเชียงคานด้วยกัน!
       
ซึ่งก็สอดรับกับการส่งเสริมการท่องเที่ยว ตามแผนการท่องเที่ยวประจำปี 2555 ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ซึ่งเริ่มใช้กันตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมปีนี้ โดยแผนดังกล่าวเน้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทั้งด้านกายภาพของแหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนวัฒนธรรมและวิถีชุมชนเป็นสำคัญ ภายใต้แคมเปญ ที่ว่า “เที่ยวหัวใจใหม่...เมืองไทยยั่งยืน”
         
  แต่ในขณะเดียวกัน ถึงวันนี้ชาวเชียงคานจะมีลมหายใจผูกพันอยู่กับนักท่องเที่ยว พวกเขาก็ยังมีวิตกอยู่บ้างเหมือนกัน กับนักท่องเที่ยวต่างเมืองที่โหมกระหน่ำกันเข้าไป เพราะทุกวันนี้คนหลายกลุ่มเริ่มเป็นกลุ่มท่องเที่ยวแฟนซี คือมีแต่ข้อเรียกร้องเป็นเงื่อนไข เช่น อยากได้ห้องพักติดเครื่องปรับอากาศ ปฏิเสธห้องน้ำรวมภายนอก ต้องมีโทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น น้ำร้อน อยู่ภายในห้องพัก สถานบันเทิงเริงรมย์ ยามค่ำคืนก็เป็นสิ่งที่ถูกเรียกหา
   
“เราอยากได้นักท่องเที่ยวที่ต้องการมาเห็นวิถีชีวิตของพวกเรา ไม่ใช่ให้เรามาปรับวิถีเพื่อความสบายของพวกเขา”
   
นี่คือคำยืนยันจากชาวเชียงคาน!.

ทีมวาไรตี้

...........................................................................................

รู้ไว้ก่อนไปเที่ยว

คำขวัญประจำอำเภอเชียงคาน - “เมืองคนงาม ข้าวหลามยาว มะพร้าวแก้ว เพริศแพร้วเกาะแก่ง แหล่งวัฒนธรรม น้อมนำศูนย์ศิลปาชีพ”
   
ระยะทาง - จ.เลย อยู่ห่างกรุงเทพฯ ประมาณ 540 กิโลเมตร อ.เชียงคาน อยู่ห่าง จ.เลย 40 กิโลเมตร ตามเส้นทางหมายเลข 201
   
แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ - วิถีชุมชนและถนนคนเดินบนเส้นทางถนนชายโขง และถนนศรีเชียงคานวัดศรีคุณเมือง, แก่งคุดคู้, พระพุทธบาทภูควายเงิน, พระใหญ่ภูคกงิ้ว
   
ระยะเวลาในการเดินทางท่องเที่ยว - สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่เหมาะที่สุดคือฤดูหนาวปลายปี
   
ของฝากจากเชียงคาน  - มะพร้าวแก้ว, ผ้านวม
   
ของกินที่แนะนำ – ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว (ขนมจีนน้ำซุป) ป้าน้ำหวาน ถนนศรีเชียงคาน ซอย 14 ร้านหลวงพระบาง ถนนชายโขง เช่น เอาะหลาม, และแจ่วบองหลวงพระบาง, ไข่แผ่นหรือสาหร่ายน้ำจืดทอดโรยงา
   
ที่พัก - ถนนชายโขง ถนนศรีเชียงคาน มีห้องพักประมาณ 300 ห้อง ที่พักภายใน อ.เชียงคาน โดยรวมรับนักท่องเที่ยวได้คืนละประมาณ 3,000 คน
   
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลย โทร. 0-4281-2812.

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ผามออีแดง


สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างชายแดนไทยกับกัมพูชาเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้คนไทยรู้จักชื่อของ ผามออีแดง มากขึ้น เพราะเป็นอีกหนึ่งจุดเสี่ยงในการปะทะกันครั้งนั้น แต่หลังจากสถานการณ์สงบลงอย่างในปัจจุบัน จุดชมวิวมุมสูงแห่งนี้ ได้เปิดบริการให้ทุกคนเข้ามาสัมผัสอีกครั้ง โดยความงดงามของทิวทัศน์ก็ไม่ได้จางหายไปตามควันไฟจากความขัดแย้ง

"ผามออีแดง" เป็นลานหินธรรมชาติ  มีหน้าผาสูง 500 เมตร ติดกับพื้นที่ประเทศกัมพูชา  โดยมีผืนป่าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาพนมดงรักเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา อีกทั้งยังเป็นประตูสู่ปราสาทพระวิหาร มองลงไปจากริมหน้าผาสูงจะเห็นพื้นที่ประเทศกัมพูชาอยู่เบื้องล่าง และมองเห็นทัศนียภาพเขาพระวิหารที่ห่างออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร รวมถึงทิวเขาพนมดงรักและแผ่นดินเขมรต่ำ นับเป็นจุดชมวิวที่สวยงามไม่เป็นสองรองใคร

ผมมีโอกาสได้ไปเยือน ผามออีแดง ในช่วงฤดูฝนถึงจะเสียดายที่ไม่สามารถเห็นพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า แต่ภาพม่านหมอกขาวที่ค่อยๆลอยละล่องปกคลุมทิวเขาด้านหน้า เป็นความงามที่ทำให้ใจหลุดลอยไปโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้จะเป็นฤดูฝนแต่ความงามของทิวทัศน์และลมหนาวยามเช้าที่พัดมาเป็นระยะ ทำให้ทุกคนที่มีโอกาสมาเยือนติดใจจนอยากแวะเวียนมาอีกครั้ง

นอกจากทิวทัศน์ที่สวยงามแล้วศิลปกรรมโบราณอายุนับพันปี ณ ผาหินทรายมออีแดง ภาพสลักนูนต่ำและภาพลงเส้น หรือสลักแบบสกัด จากลักษณะศิลปกรรมวิเคราะห์ตามประติมาวิทยาว่าเป็นศิลปกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 17 ซึ่งมีการระบุว่า ค้นพบโดยทหารพรานชุดคุ้มครองชายแดนเมื่อปี พ.ศ. 2537 ถือเป็นไฮไลท์สำคัญที่นักท่องเที่ยวที่ชอบศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์เดินทางมาชามกันมากมาย

โดยมี ภาพสลักรูปบุคคลในท่านั่ง 3 คน สันนิษฐานว่า รูปบุรุษเป็นรูปท้าวกุเวร  หนึ่งในจตุมหาราชซึ่งประจำทิศเหนือ  เนื่องจากมีดอกไม้ทัดสองข้างหูตามแบบยักษ์ เนื่องจากท้าวกุเวรเป็นใหญ่ในหมู่ยักษ์ บ้างก็สันนิษฐานว่าเป็นรูปบุคคลสูงศักดิ์มากกว่าเป็นรูปเทพเจ้าใดๆ และยังมีคนสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นรูปสลักของพระศิวะที่มีพระอุมาและแม่คงคานั่งขนาบข้างซ้ายและขวาของภาพ

ส่วนภาพกลุ่มที่ 2
เป็นรูปบุคคลประทับบนนาค สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเทพวรุณทรงนาค  เทพวรุณเป็นเทพแห่งฝน และรักษาทิศตะวันตก แต่บางท่านสันนิษฐานว่าเป็นภาพนารายณ์ทรงนาค  ส่วนภาพสัตว์อีกสองตัวอาจจะเป็นพาหนะของเทพ  ที่ยังสลักไม่เสร็จ แต่ไม่ว่าภาพสลักเหล่านี้จะเป็นของบุคคลใด ศิลปกรรมโบราณนี้ก็บ่งบอกได้ถึงวัฒนธรรมอันล้ำค่า ที่คนรุ่นก่อนพยายามส่งต่อถึงคนรุ่นหลัง เราทุกคนมีหน้าที่อนุรักษ์และรักษาไว้ให้คนรุ่นต่อไปได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัส

การท่องเที่ยวบางครั้งไม่จำเป็นต้องดูตามฤดูกาลเสมอไป ขอเพียงทุกคนพร้อมปล่อยใจไปกับธรรมชาติรอบข้าง และเรียนรู้ที่จะอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในทุกสถานที่ท่องเที่ย ความงามของแหล่งท่องเที่ยวเหล่านั้นก็จะยืนยาว และพร้อมชดเชยสิ่งดีๆกลับมาหาทุกคนแน่นอน

ผามออีแดง อยู่ในเขตอำเภอกันทรลักษณ์ ผ่านทางแยกเข้าอำเภอกันทรลักษณ์ลงไปทางใต้ ห่างจากอำเภอกันทรลักษณ์ประมาณ 34 กิโลเมตร

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตะไคร้ พืชสมุนไพร


เมื่อใดที่เกิดมีอาการวิงเวียนศีรษะ ปนคลื่นไส้อยากอาเจียน แม้จะรู้หรือไม่รู้สาเหตุ แต่อยากเร่งแก้ปัญหาเวียนหัวนั้นให้บรรเทาลงไปก่อน สามารถนำพืชสมุนไพรใกล้ตัวคู่ครัวไทย อย่าง 'ตะไคร้' ที่นิยมนำไปเป็นส่วนผสมของเมนูอาหารไทยหลากหลาย อาทิ ต้มยำ ต้มข่า มาแก้อาการ ทดแทนยาดม ยาลม ยาหม่องได้

วิธีนำตะไคร้มาใช้แก้เวียนหัวนั้นแสนง่าย เพียงนำตะไคร้มาบุบตรงส่วนต้นพอแหลกให้กลิ่นโชยออกมาได้ จากนั้นนำมาสูดดมจากต้นโดยตรง หรือใช้ผ้าขาวบางห่อก่อนดม ก็ช่วยบรรเทาอาการได้แล้ว โดยกลิ่นของตะไคร้นั้นจะมีความหอมชัดเจนเฉพาะตัว คนโบราณอธิบายกลิ่นของตะไคร้ว่า กลิ่นหอม รสปร่า แต่ก็เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยสำหรับคนไทย 

นอกจากนี้ยังมีอีกวิธี ใช้เหง้าหรือลำต้นตะไคร้สดที่ค่อนข้างแก่ ประมาณ 1 กำมือ ทุบพอแหลกแล้วนำไปต้มกับน้ำ เสร็จแล้วดื่มเฉพาะน้ำที่ต้มกับตะไคร้นั้น อาการเวียนศีรษะและคลื่นไส้จะบรรเทาลง ใครที่เมารถ เมาเรือ นำวิธีเหล่านี้ไปใช้ด้วยได้.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com    

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ศรีอยุธยา (วิษณุ เครืองาม)


ย้อนกลับไปพูดถึงสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า ไม่ปรากฏว่าทรงยกสตรีใดขึ้นเป็นพระอัครมเหสี ที่จริงจะมีพระภรรยาเจ้าไม่ว่าชั้นใดหรือไม่ก็ยังไม่มีหลักฐาน อาจจะทรงเอาแต่รบทัพจับศึกก็ได้ จึงไม่ปรากฏว่ามีพระราชโอรสธิดาหรือผู้สืบเชื้อสายแต่มีเรื่องเล่าถึงสตรีที่ทรงรักตั้งแต่วัยรุ่นคือเจ้าขรัวมณีจันทร์ซึ่งได้ตามเสด็จหนีจากพม่าเข้ามาอยู่อยุธยา พงศาวดารไทยกล่าวว่าเจ้าขรัวมณีจันทร์มีชีวิตต่อมาจนถึงสมัยพระเจ้าทรงธรรม
   
เครื่องหมายแห่งวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรที่ยังปรากฏสืบมา บัดนี้เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เวลาทำพิธีบรมราชาภิเษกพระมหากษัตริย์ไทยจะเชิญออกมาประดิษฐานเป็นสิริมงคลสูงส่งคือพระแสงปืนข้ามแม่น้ำสะโตง (ใช้ยิงสุรกรรมาแม่ทัพพม่า) พระแสงดาบคาบค่าย (ใช้คาบปีนรั้วทัพพม่าขึ้นไปต่อสู้ถึงหอคอย) พระมาลาเบี่ยง (ถูกพม่าฟันหมวกจนบิ่น) และพระแสงแสนพลพ่าย (ใช้ฟันพระมหาอุปราชา) ครูควรพานักเรียนไปดู ชาติไทยเป็นเอกราชมาได้ด้วยของทั้ง 4 นี้
   
พระราชานุสาวรีย์มหาราชพระองค์นี้มีอยู่หลายแห่ง ที่อนุสรณ์สถานดอนเจดีย์ สุพรรณบุรีแห่งหนึ่ง ทางจังหวัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระนเรศวรไว้ใต้ถุนน่าดูนัก ที่ทุ่งมะขามหย่องนอกเกาะอยุธยาแห่งหนึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ผมไปยืนดูทีไรน้ำตาซึม พระเดชพระคุณท่วมหัวจริง ๆ เจ้าประคุณเอ๋ย และที่หน้ากองบัญชาการกองทัพไทย ถนนแจ้งวัฒนะชานกรุงใกล้แค่นี้เองอีกแห่งหนึ่ง ครูโรงเรียนไหนยังไม่รู้จักพานักเรียนไปชมให้ได้สักแห่ง ผมว่าน่าเสียดาย!
   
ได้เล่าแล้วว่าสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมได้ครองราชย์ต่อจากสมเด็จเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ พระราชโอรสสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงเป็นกษัตริย์อยุธยาพระองค์ที่ 22 และเป็นลำดับที่ 5 ในราชวงศ์สุโขทัย ก่อนจะได้ราชสมบัติเป็นเจ้าชั้นลูกเธอของสมเด็จพระเอกาทศรถ แต่บางคนเชื่อว่าดีไม่ดีอาจเป็นลูกเธอของสมเด็จพระนเรศวรด้วยซ้ำ ที่แน่คือพระชนนีมิได้เป็นพระอัครมเหสี มิฉะนั้นคงได้ครองราชย์ก่อนสมเด็จเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ไปแล้วเพราะพระชนมายุมากกว่าและฉลาดหลักแหลมกว่าเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ เมื่อแรกประสูติเป็นพระอินทราชาภายหลังพระราชชนกคงเกรงจะก่อความยุ่งยากในการสืบราชสมบัติจึงให้ออกผนวชและไปประทับที่วัดระฆัง (บัดนี้คือวัดวรโพธิ์ยังมีอยู่) จนได้เป็นพระราชาคณะชื่อพระพิมลธรรม
   
สมณศักดิ์พระพิมลธรรมสมัยอยุธยาตอนนั้นอาจไม่ใหญ่โตนัก แต่มาถึงกรุงรัตนโกสินทร์จนถึงบัดนี้เป็นสมณศักดิ์ของพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จ 1 ใน 4 ที่สำคัญในแผ่นดินคือพระพิมลธรรม พระธรรมวโรดม พระพรหมมุนี และพระอุบาลีคุณูปมาจารย์
   
พระพิมลธรรมจะสึกก่อนนำพระและทหารเข้ายึดอำนาจจากสมเด็จพระศรีสรรเพชญ (ที่ 4) หรือจะยึดอำนาจจากสมเด็จเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์แล้วจึงลาผนวชภายหลังยังสับสนอยู่ แต่พิเคราะห์ดูเหตุผลแล้วน่าจะสึกก่อน จะครองผ้าเหลืองวิ่งจีวรปลิวเข้ายึดอำนาจแล้วสั่งสำเร็จโทษสมเด็จเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ได้กระไร ครองราชย์แล้วทรงพระนามว่าสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม คำแปลใกล้เคียงกับธรรมราชาตามคตินิยมสุโขทัยฝ่ายพระราชบรรพบุรุษ
   
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากตามประสาคนเคยบวชเรียน ในรัชกาลนี้มีการค้นพบรอยพระพุทธบาทที่สระบุรี ถ้าว่าตามตำนานจะพิลึกพิลั่นมาก แต่ถ้าดูให้เป็นวิทยาศาสตร์และรัฐศาสตร์เข้าใจว่าอาจทำขึ้นเพื่อเหตุผลทางการเมืองให้คนคร้ามเกรงก็ได้ว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้มีบุญ พอขึ้นเป็นใหญ่ก็ได้พบของศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง โปรดฯ ให้สร้างมณฑปครอบและมีพระราชพิธีจัดขบวนเสด็จพระราชดำเนินเป็นการใหญ่ไปทรงนมัสการพระพุทธบาทมาทุกรัชกาลตลอดสมัยอยุธยา จะว่าเป็นปูชนียสถานสำคัญที่สุดในสมัยอยุธยาก็ว่าได้
   
สมัยนั้นการคบค้ากับต่างประเทศเริ่มมีมากโดยเฉพาะกับเปอร์เซีย ฮอลันดาซึ่งเราเรียกว่าวิลันดา อังกฤษ และญี่ปุ่น จนถึงกับเข้ามาตั้งห้างและเข้าเป็นทหาร นายห้างฮอลันดาคนหนึ่งชื่อฟอนฟลีต เราเรียกว่าวันวลิตเข้ามาค้าขายในอยุธยาจนเข้านอกออกในราชสำนักได้ วันวลิตได้เรียบเรียงจดหมายเหตุเล่าถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสมัยนั้นไว้อย่างละเอียดได้ความรู้เป็นอันมากและน่าเชื่อถือด้วย
   
คนสำคัญในสมัยนั้นที่ควรกล่าวถึงคือพ่อค้าเปอร์เซียนับถือศาสนาอิสลามชื่อเฉกอาหมัด (เฉก คือ ชีค) แล่นเรือเข้ามาจากเมืองกุม (ปัจจุบันอยู่ในอิหร่าน) นำสินค้าเข้ามาค้าขายจนมั่งคั่ง ทรงนับเป็นพระสหาย เพราะนอกจากคงจะช่วยอุดหนุนราชการด้านทรัพย์สินเงินทองแล้วยังเป็นกำลังหลักช่วยควบคุมดูแลพวกมุสลิมต่างพระเนตรพระกรรณ อีกด้วย คราวพวกญี่ปุ่นก่อการขบถจะจับพระองค์ขณะเสด็จลงทรงฟังพระสอนบาลีก็ได้ท่านผู้นี้ช่วยจนทรงรอดพ้นไปได้จึงโปรดฯให้เป็นเจ้าพระยาบวรรัตนนายกเทียบเท่าอัครมหาเสนาบดีแต่ไม่ต้องทำราชการใด ๆ
   
ลูกหลานของท่านเป็นกำลังสำคัญของบ้านเมืองมาทุกยุคสมัยจนตราบถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ยากที่จะหาวงศ์ตระกูลใดในประเทศนี้เสมอเหมือน เฉกอาหมัดผู้นี้คือต้นตอบ่อเกิดสกุลบุนนาคครับ!
   
คนสำคัญอีกคนเป็นข้าราชการที่สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาก ในรัชกาลนี้ได้เป็นพระยาศรีวรวงศ์ ประวัติยังอึมครึมอยู่ ว่ากันว่าอาจเป็นพระราชโอรสสมเด็จพระเอกาทศรถประสูติจากสาวชาวบ้านธรรมดา บ้างก็ว่าอาจเป็นญาติข้างแม่ของพระเจ้าทรงธรรมจึงมิได้เป็นเจ้ามาแต่กำเนิด เอาเป็นว่าต่อไปท่านได้เป็นเจ้าพระยามหาเสนาซึ่งใหญ่ยิ่งมากในรัชกาลหน้า และยังได้ครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์เริ่มพระราชวงศ์ใหม่อีกด้วย
   
เมื่อสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต พระยาศรีวรวงศ์ได้ยกราชสมบัติถวายสมเด็จพระเชษฐาธิราช พระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ทั้งที่ความจริงพระศรีศิลป์ น้องชายสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมเข้าคิวรออยู่ สมเด็จพระเชษฐาธิราชเป็นกษัตริย์องค์ที่ 23 ตัวพระยาศรีวรวงศ์เองมีคุณงามความดีได้เป็นเจ้าพระยามหาเสนา สมุหพระกลาโหม คนทั่วไปเรียกว่าเจ้าพระยากลาโหม มีอำนาจมากเพราะเป็นคนตั้งพระเจ้าแผ่นดิน
   
ตอนต้นรัชกาลพระศรีศิลป์ยกทัพมาก่อการขบถทวงราชสมบัติแต่ถูกจับได้และนำตัวไปสำเร็จโทษที่วัดโคกพระยา วันหนึ่งเจ้าพระยากลาโหมจัดงานศพมารดา ผู้คนไปร่วมงานทั้งอยุธยา สมเด็จพระเชษฐาธิราชกริ้วว่าเป็นแค่อัครมหาเสนาบดีคนยังประจบเอาใจขนาดนี้ บางทีอาจทรงริษยาด้วยจึงทรงระแวงว่าเจ้าพระยากลาโหมอาจเป็นขบถ ทรงแสร้งเรียกให้มาเฝ้าฯด่วนแต่เจ้าพระยากลาโหมรู้ทันประกาศก้องว่าท่านเองได้ทำราชการมาด้วยความจงรักภักดี บัดนี้พระเจ้าแผ่นดินกล่าวหาว่าจะเป็นขบถก็จะขอเป็นขบถล่ะ ว่าแล้วก็คุมผู้คนที่ภักดีเข้าจับสมเด็จพระเชษฐาธิราชปลงพระชนม์เสียที่วัดโคกพระยา
    
ขุนนางยกราชสมบัติให้เจ้าพระยากลาโหมแต่ท่านไม่ยอมรับกลับแสดงอาการว่าจงรักภักดีโดยขอถวายพระอาทิตยวงศ์ พระราชโอรสอีกพระองค์ของพระเจ้าทรงธรรมขณะนั้นพระชันษา 10 ปี สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ กษัตริย์พระองค์ที่ 24 ยังเด็กนัก วัน ๆ เอาแต่เล่นไม่เป็นโล้เป็นพาย หกเดือนต่อมาขุนนางก็พร้อมใจกันถอดสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ พงศาวดารกล่าวว่า “จำจะยกพระอาทิตยวงศ์ลงเสียจากเศวตฉัตร”แล้วมอบราชสมบัติให้เจ้าพระยากลาโหมขึ้นครองราชย์ให้รู้แล้วรู้รอด คราวนี้ท่านยอมรับ เป็นอันสิ้นสุดวงศ์พระร่วงและเริ่มพระราชวงศ์ใหม่
   
กษัตริย์พระองค์ใหม่นี้ชื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปราสาททอง รัชกาลที่ 25 แห่งอยุธยา แต่ความที่ยังหาหลักฐานเชื่อมโยงกับราชวงศ์สุโขทัยซึ่งเริ่มตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระมหาธรรมราชาไม่ได้ จึงถือว่าเป็นการเริ่มราชวงศ์ใหม่ นักประวัติศาสตร์เรียกว่าราชวงศ์ปราสาททอง
   
คำว่า “ปราสาททอง” ไม่ใช่พระนาม แต่เป็นเพราะรัชกาลนี้โปรดฯ ให้สร้างพระมหาปราสาทจักรวรรดิไพชยนต์ปิดทองทั้งหลังซึ่งเป็นเรื่องแปลกในสมัยนั้น คนทั้งปวงจึงเรียกว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปราสาททอง
   
พระเจ้าปราสาททองฉลาดหลักแหลมแต่ดูจะมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวอยู่ การยกพระเชษฐาธิราชขึ้นเป็นกษัตริย์แทนที่จะถวายพระศรีศิลป์จะมองว่าเป็นการรักษากฎเกณฑ์ก็ได้ แต่ความจริงพระศรีศิลป์มีความสามารถและมีพระชนมายุสูงกว่าพระเชษฐาธิราชมาก ขุนนางเองก็ไม่ได้ยอมรับพระเชษฐาธิราชเท่าไรนัก การคุมกำลังมายึดอำนาจจากพระเชษฐาธิราชอ้างว่าถูกกล่าวหาก่อนว่าจะเป็นขบถก็ยังน่าคิดว่าพระเชษฐาธิราชอาจมีเหตุควรระแวงก็ได้ การยึดอำนาจจากพระเชษฐาธิราชแล้วทำทีถวายราชสมบัติแด่พระอาทิตยวงศ์ทั้งที่รู้ว่าเป็นเด็กอาจยกย่องเพื่อทำลายง่าย ๆ ภายหลังก็ได้คล้าย ๆ ที่ทหารปฏิวัติแล้วยกพลเรือนเป็นนายกฯ ต่อไปค่อยหาเหตุปลดนายกฯ อีกที ด้วยเหตุนี้คนสมัยก่อนเช่นรัชกาลที่ 5 เคยทรงตั้งข้อสังเกตว่าพระเจ้าปราสาททองอาจจะเป็นคนช่างอุบายและมีมารยากระมัง!
   
ในรัชกาลนี้มีการกวาดล้างข้าราชการและเจ้านายสมัยราชวงศ์ก่อนเป็นอันมากจนแทบจะหาข้าราชการไม่ได้ต้องรับคนต่างชาติเข้ามาทำราชการ
   
พระเจ้าปราสาททองมีน้ององค์หนึ่งรู้จักไว้ตรงนี้ก่อนว่าชื่อพระศรีสุธรรมราชา แต่ไม่โปรดฯ ให้ทำราชการสำคัญอันใด มีพระราชโอรสประสูติตั้งแต่ก่อนครองราชย์คือเจ้าฟ้าไชยและมีพระราชโอรสชั้นเจ้าฟ้าหลัง
ครองราชย์แล้วชื่อพระนารายณ์ราชกุมาร
   
พระเจ้าปราสาททองเป็นคนสร้างวัดไชยวัฒนาราม (บัดนี้เหลือแต่ซากแต่สมบูรณ์และสวยงามมากกลางคืนประดับไฟน่าดู) วัดชุมพลนิกายารามและพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ที่บางปะอิน
   
ก่อนสวรรคตพระเจ้าปราสาททองประชวรหนักแต่ทรงมอบพระขรรค์ให้เจ้าฟ้าไชยประหนึ่งว่าเป็นการมอบราชสมบัติ เจ้าฟ้าไชยได้เป็นกษัตริย์องค์ที่ 26 แต่ความสัมพันธ์กับพี่ป้าน้าอาและน้อง ๆ ในพระราชวงศ์ไม่ดีนัก พระนารายณ์ราชกุมารจึงนำทหารเข้ายึดอำนาจและปลงพระชนม์สมเด็จเจ้าฟ้าไชยพี่คนละแม่ แล้วยกพระเจ้าอาคือพระศรีสุธรรมราชาเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 27 ส่วนพระองค์เองเป็นพระมหาอุปราช
   
สมเด็จพระศรีสุธรรมราชามีนิสัยไม่ดีสมกับที่พระเจ้าปราสาททองไม่ไว้วางใจ แทนที่จะเมตตาพระนารายณ์กลับวางตัวเป็นใหญ่ วันหนึ่งจะปลุกปล้ำพระน้องนางของพระนารายณ์ซึ่งความจริงก็เป็นหลานอา พระนารายณ์จึงเข้ายึดอำนาจจับสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาไปสำเร็จโทษตามธรรมเนียมกษัตริย์ที่วัดโคกพระยา แล้วขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 28 ทรงพระนามว่าสมเด็จพระนารายณ์
   
บัดนี้เริ่มแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ มหาราชอีกพระองค์ แผ่นดินนี้กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด เสียดายที่แต่แล้วตอนปลายกลับตกต่ำลงจนค่อย ๆ ถึงแก่กาลอวสานในเวลาต่อมา.

วิษณุ  เครืองาม
wis.k@hotmail.com

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Read this Article and you will be happier than ever.

What Makes You Happy? 
Written by Chuck Gallozzi    
The Magnitude of Gratitude
"What makes you unhappy?" came the reply. After all, if we are grateful for what we are, do, and have, how can we be unhappy? Such is the magnitude of gratitude. Our happiness hinges on it. The importance of gratitude, appreciation, or thankfulness never escaped the attention of the great philosophers. Marcus T. Cicero (106 ~ 43 BCE), for example, said, "Gratitude is not only the greatest of virtues, but the parent of all the others."
How about you? Are you grateful for ALL your blessings? Of course, we are grateful for unexpected, pleasant surprises. For instance, if we were to win the lottery, inherit a fortune, get an unexpected bonus or raise, we would be brimming over with thankfulness.
But what about the blessings we live with daily. Aren't we so used to them that we take them for granted? Here are some examples of good fortune that we may forget to be grateful for: food, shelter, clothing; the country we live in; opportunities to work, play, and study; the miracle of life; the misfortunes we have avoided; the diversity and spice of life; good health; our gifts and talents; our achievements; freedom of speech; the kindness, encouragement, and help we receive from others; the technology that makes life more pleasant (air-conditioning, appliances, computers); the ability to create our destiny with the power of choice; art, music, dance, poetry, and beauty; our friends, family, and pets.
Even our memories can be a source of great joy, for as Amelia C. Welby (1819 ~ 1852) wrote, "As the dew to the blossom, the bud to the bee; as the scent to the rose, are those memories to me." And what about nature; shouldn't it also be a great source of gratitude? Here's how Anne Morrow Lindbergh (1906 ~ 2001) answers that question, "One can get just as much exultation in losing oneself in a little thing as in a big thing. It is nice to think how one can be recklessly lost in a daisy."
The point I was trying to make in the above two paragraphs was nicely summarized by Gilbert K. Chesterton (1874 ~ 1936) in one sentence: "When it comes to life the critical thing is whether you take things for granted or take them with gratitude."
But wait, there's yet another category of events and circumstances that we often neglect to be thankful for, and that's the difficulties we struggle with and the obstacles we have to overcome. For they are what make us stronger.
At this point, let me expand on what I suggested in my opening remarks; mainly, our happiness depends on an attitude of gratitude. Look at it this way, when we live with a grateful heart, we live without whining or complaining. In other words, we're happy. Or as Marianne Williamson has expressed it, "Joy is what happens to us when we allow ourselves to recognize how good things really are."
Despite the many handicaps she had to endure, Helen Keller (1880 ~ 1968) was grateful. Certainly you and I can do the same. Here is what she said, "So much has been given to me; I have no time to ponder over that which has been denied." That's what happy people do. They focus on what they have, not on what they lack. They do so for good reason, for as Epicurus (c. 341 ~ 270BCE) taught, "Do not spoil (the pleasure of) what you have by desiring what you have not; but remember that what you now have was once among the things you only hoped for."
If you would be rich, be grateful, for gratitude is riches and complaining is poverty. Rather than complain about what you lack, be grateful for what you have. Charles Dickens (1812 ~ 1870) agrees, for he wrote, "Reflect upon your present blessings, of which every man has plenty; not on your past misfortunes, of which all men have some."
The next time you feel like complaining, write down your complaint and then change it into something you are grateful for. Do this often enough and you will develop the skill to always see the positive in every situation. For an example of what I mean, take a look at this popular piece, taken from the Internet and titled, I AM THANKFUL:
I AM THANKFUL
For the wife who says it's hot dogs tonight, because she is home with me, and not out with someone else.
For the husband who is on the sofa being a couch potato, because he is home with me and not out at the bars.
For the teenager who is complaining about doing dishes, because it means she is home, not on the streets.
For the taxes I pay, because it means I am employed.
For the mess to clean after a party, because it means I have been surrounded by friends.
For the clothes that fit a little too snug, because it means I have enough to eat.
For my shadow that watches me work, because it means I am out in the sunshine.
For a lawn that needs mowing, windows that need cleaning, and gutters that need fixing, because it means I have a home.
For all the complaining I hear about the government, because it means we have freedom of speech.
For the parking spot I find at the far end of the parking lot, because it means I am capable of walking and I have been blessed with transportation.
For my huge heating bill, because it means I am warm.
For the lady behind me in church who sings off key, because it means I can hear.
For the pile of laundry and ironing, because it means I have clothes to wear.
For the weariness and aching muscles at the end of the day, because it means I have been capable of working hard.
For the alarm that goes off in the early morning hours, because it means I am alive!

----------------------------------------------------------